Reiki คือ

“เรกิ” ที่จริงแล้วคืออะไร?

 
ในเรกิญี่ปุ่นดั้งเดิม เรียกว่า Reiho (Reiki Ryoho) 
     เรกิ คือ พลังการรักษาจากธรรมชาติ หลายคนอาจจะเข้าใจเพียงเท่านี้ แต่รู้หรือไม่ว่าในความหมายที่แท้จริงของเรกิ ยังซ่อนไปด้วยปรัชญา วิถีชีวิต รวมทั้งการพัฒนาจิตเอาไว้ด้วย
 
“เร” มาจากภาษญี่ปุ่น 靈(Rei) คือ จิตวิญญาณ, สิ่งที่มาจากบนฟ้า, ปัญญา, เบื้องบน, สิ่งที่มาจากธรรมชาติชั้นสูง มาจากภาษาญี่ปุ่น
หลายคนอาจจะพอทราบว่า ภาษญี่ปุ่นก็มีคำที่ยกมาจากภาษาจีน 
 
– ตัวแรกคือ “霝” ซึ่งในความหมายของภาษาจีนดั้งเดิมนั้น หมายถึง ฝนที่ตกลงมา เพราะว่าคนโบราณเชื่อว่า การจะได้รับน้ำฝนตกลงมา นั้นจำเป็นขอพรต่อเทพเจ้าและอธิษฐานต่อเบื้องบน โดยในตอนที่ขอพรต้องทำจิตใจให้บริสุทธิ์ มีความเคารถ จริงใจ ซึ่งเรียกว่า “ความบริสุทธิ์ใจนำไปสู่จิตวิญญาณ” 
 
– ส่วนตัวด้านล่าง “示” หมายถึง แท่นสำหรับบวงสรวง เวลาทำพิธีแสดงความจริงใจต่อเทพเจ้าและฟ้าเบื้องบน
 
– ตัวถัดไปคือคำว่า “玉” หมายถึง หยก เนื่องจากในโบราณคนมีความเชื่อว่า หยก เป็นสิ่งมีค่า รวมทั้งยังแสดงออกถึงเรื่องทางจิตวิญญาณ 
 
รวมความหมายที่แท้จริงของ คำว่า “เร” จึงเป็นคำที่กล่าวเพื่อแสดงถึงการรับพรจากเบื้องบน การแสดงจิตใจที่บริสุทธิ์ รวมทั้งจิตวิญาณเบื้องสูง 
 
rei
“กิ” มาจากภาษญี่ปุ่น 氣(Ki) คนไทยเราอาจจะคุ้นเคยกับคำว่า ชี่ (Qi, Chi) มากกว่า ซึ่งก็คือคำเดียวกัน กิ จึงหมายถึง พลังงาน, พลังชีวิต 
คำที่มีความหมายคล้าย ๆ กันในแต่ละภาษาและวัฒนธรรม เช่น Qi, Chi, Ki, Mana, Prana, Life Force เป็นต้น
 
ในแพทย์แผนจีน ก็ให้ความสำคัญกับคำว่า ชี่ หรือพลังงานชีวิตนี้มาก เพราะถือเป็นพลังสำคัญที่ทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้ เนื่องจากร่างกายเราต้องการพลังงานในการหล่อเลี้ยงอวัยวะ ระบบการทำงาน รวมทั้งพลังในการดำเนินชีวิต ออกไปทำงาน สร้างสรรค์ผลงาน
 

หลักการก็คือ

พลังชีวิตนี้ควรจะไหลไปได้อย่างเหมาะสม สมดุล ทั่วทุกอวัยวะของร่างกาย เราก็จะมีสุขภาพดี ทั้งสุขภาพกายและใจ 

  • แข็งแรง 
  • อารมณ์ดี 
  • สมองปลอดโปร่ง
  • มีชีวิตชีวา
  • มีพละกำลัง
 
แต่หากเกิดความผิดปกติของร่างกาย 
  • เริ่มป่วย, 
  • ปวดเนื้อปวดตัว, 
  • อารมณ์ไม่เสถียร, 
  • หงุดหงิด 
  • ฉุนเฉียว 
  • เบื่อหน่าย 
  • ฯลฯ 
 
เหล่านี้ก็เป็นสัญญาณที่บอกได้ว่า พลังงานภายในร่างกาย เกิดอาการติดขัด พร่องไป หรือคั่งมากไป ทำให้อวัยวะขาดพลังงานในการทำงาน แล้วก็ส่งผลให้ร่างกายเกิดอาการทางกายภาพต่อไป
 
ki

ในความหมายแท้จริงของเรกิ คือ

พลังงานที่บริสุทธิ์จากเบื้องบน ที่ไหลลงมาปรับสมดุลร่างกาย อารมณ์ จิตใจและจิตวิญญาณ ทำให้ผู้ที่เชื่อมต่อกับเรกิ มีพลังงาน พลังชีวิตเข้าไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย และเมื่อทุกอวัยวะของร่างกายมีพลังงาน ก็จะทำงานได้เต็มที่ ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ 
 
 

นึกภาพง่าย ๆ ว่าเรกิคืออะไร?

เปรียบเทียบร่างกายเราก็เหมือนกับรถยนต์ค่ะ
เครื่องยนต์ประกอบไปด้วย กลไก ชิ้นส่วนหลาย ๆ ชิ้นมาประกอบกัน เหมือนกับอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย
 
เครื่องยนต์แต่ละชิ้น แต่ละส่วนต้องการพลังงาน(เชื้อเพลิง)เติมเข้าไปหล่อเลี้ยงครบทั้งหมด 
เพื่อให้เครื่องยนต์มีพลังงาน เปิดใช้งานได้ แล้วรถยนต์ก็จะทำงานได้ ขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ร่างกายเราก็ต้องการพลังงานมาหล่อเลี้ยงเช่นเดียวกัน
Reiki - Car
เครื่องยนต์แต่ละชิ้น แต่ละส่วนต้องการพลังงาน(เชื้อเพลิง)เติมเข้าไปหล่อเลี้ยงครบทั้งหมด
เพื่อให้เครื่องยนต์มีพลังงาน เปิดใช้งานได้ แล้วรถยนต์ก็จะทำงานได้ ขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ร่างกายเราก็ต้องการพลังงานมาหล่อเลี้ยงเช่นเดียวกัน
 
ซึ่งนอกเหนือไปจากที่พลังงานเรกิช่วยปรับสมดุลร่างกายแล้ว เรกิญี่ปุ่นในขั้นสูงยังเป็นการเข้าถึงแหล่งพลังงานที่ช่วยปรับสมดุลอารมณ์ จิตใจ และจิตวิญญาณด้วย
Reiki - Body

ประโยชน์ของเรกิ

 
โชคดีที่เรกิ โด่งดังที่โลกตะวันตกก่อน ทำให้โลกตะวันตกที่ต้องการพิสูจน์ผลลัพธ์และใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์เพื่อวัดผลทางกายภาพ และจิตใจนั้นค่อนข้างหลากหลาย โดยกล่าวถึงประโยชน์ของเรกิ ไว้หลายประการ (Baldwin,2020) เช่น
 

ประโยชน์ที่ได้ทันที…

✅ผ่อนคลาย
✅สงบ
✅สบาย
✅โล่ง
✅คลายเครียด
✅ลดอาการเจ็บปวด
✅ลดความวิตกกังวล
✅ลดอาการซึมเศร้า
✅ลดความคิดลบ
✅ลดอาการ Burnout
✅การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น
✅HRV ดีขึ้น
✅นอนหลับดีขึ้น
✅ความเป็นอยู่ของชีวิตดีขึ้น

รูปจาก IARP

ประโยชน์ในระยะยาว…

 
✅อารมณ์ดี มีความสุขง่าย
✅จิตใจดี มีเมตตา กรุณา
✅มีความเอื้อเฟื้อ โอบอ้อมอารี
✅ใช้เพื่อการพัฒนาจิตวิญญาณ
✅เชื่อมต่อกับตัวเอง
✅ตระหนักรู้ในตัวเองมากขึ้น
✅เข้าถึงเป้าหมายของชีวิต
 
 
 อาจารย์ มิคาโอะ อูซุย ผู้ค้นพบพลังงานเรกิ จากการขึ้นไปทำสมาธิภาวนา เพื่อให้เข้าถึง อันชิน ริทสุเมะ (Anshin Ritsumei) ซึ่งเป็นสภาวะการเข้าถึงความสงบสุขทางจิตวิญญาณ 
 
ความหมายของคำว่า อันชิน ริทสุเมะ
อันชิน หมายถึง การเข้าถึงความสงบ เสถียรของจิตใจ
ริทสุเมะ หมายถึง การทำในสิ่งที่ควรทำ ตามภารกิจหรือเป้าหมายของเรา
 
ดังนั้น ในขั้นสูงของเรกิ ยังเป็นไปเพื่อการพัฒนาจิต และเข้าถึงความสงบสุขทางจิตวิญญาณด้วย
japan monk reiki

กว่าจะมาเป็นเรกิ!

ที่จริงแล้วการค้นพบเรกินั้นเรียบง่าย โดยเฉพาะถ้าเรามองในมุมของชาวเอเซีย ที่มีวัฒนธรรม วิธีปฏิบัติ ศาสนา และความเชื่อคล้าย ๆ กัน
 
ในญี่ปุ่นโบราณ เมื่อคนได้ผ่านการใช้ชีวิต ผ่านประสบการณ์ การเรียนมาเกินครึ่งชีวิต เห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายที่เกินขึ้นมา ก็มักจะมีคำถามที่เกิดขึ้นมาในใจ ว่า “ที่จริงแล้ว อะไรเป็นเป้าหมายของชีวิตกันแน่?”
 
อาจารย์มิคาโอะ อูซุย ก็เป็นคนนึง ที่ตามหาคำตอบของคำถามนี้เช่นกัน
เขาพยายามค้นหาคำตอบอยู่นานหลายปี จนกระทั่งเขาได้ทุ่มเทในการศึกษาทั้งหมด และพบว่า เป้าหมายสูงสุดของชีวิต ก็คือ อันชิน ริทสุเมะ (Anshin Ritsumei)
 
เขาจึงได้ปฏิบัติ ทำสมาธิ ด้วยวิธี ซาเซน อยู่ที่วัดญี่ปุ่นในเกียวโตอยู่ 3 ปี 
แต่ก็ยังไม่สามารถเข้าใจและเข้าถึงสภาวะของอันชิน ริทสุเมะได้ซักที
 
meditation zazen japan reiki

จนกระทั่ง…ได้ขึ้นไปบนเขาคุรามะ เพื่อทำสมาธิ ภาวนา

หลังจากทำสมาธิ ภาวนาบนเขาคุรามะ อยู่ 21 วัน
เขาก็ได้ค้นพบพลังงานเรกิ ในเที่ยงคืนวันนั้น
พลังงานที่ทำให้เขารู้สึกว่า เขาเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล และจักรวาลเป็นหนึ่งเดียวกับเขา
 
ตอนแรกอาจารย์อูซุย ก็ยังไม่เข้าใจหรอกค่ะ ว่าสิ่งนี้มันคืออะไร ไม่สามารถอธิบายความรู้สึกได้
แต่ระหว่างทางเดินลงมาจากภูเขา อาจารย์อูซุย ได้สะดุดรากไม้ล้ม และมีแผลที่นิ้วเท้า เขาจึงเอามือไปวางอังบริเวณนิ้วเท้า หลังจากนั้นก็ พบว่าความเจ็บปวดหายไป และแผลก็ได้รับการฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว
 
หลังจากนั้นเขาจึงได้ถ่ายทอดให้กับลูกศิษย์ลูกหา และผู้ที่สนใจ
จนกระทั่งจัดตั้งสมาคม อูซุย เรกิ เรียวโฮ (Usui Reiki Ryoho Gakkai)
ตามบันทึกได้กล่าวว่า มีผู้ที่ได้รับการถ่ายทอด เรกิ เรียวโฮ จากอาจารย์อูซุยมากกว่า 2,000 คน
รวมทั้งช่วงนั้น ที่ญี่ปุ่นเกิดแผ่นดินไหวคันโตและเกิดไฟไหม้อย่างรุนแรง ทำให้มีผู้บาดเจ็บหลายล้านคน อาจารย์อูซุยก็ได้เดินทางไปเยียวยา ส่งเรกิ และช่วยเหลือผู้ประสบภัยอีกมากมาย ทำให้เรกิ เรียวโฮ โด่งดังและแพร่หลายมากในยุคนั้น
 
Mikaousui and student

เรกิที่สูญหายไปจากญี่ปุ่น!

 
เรกิ ที่กำลังแพร่หลายและโด่งดังในญี่ปุ่น กลับเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อการชุมนุมฝึกเรกิ (การรวมตัวกันเพื่อฝึกเรกิภายในกลุ่ม) ถูกจับตามองและถูกกีดกันในช่วงนั้น ทำให้การฝึกเรกิ เป็นไปเฉพาะบุคคล ภายในบ้านตัวเอง ไม่มีการรวมตัวกันอย่างที่เคยเป็น และไม่มีการเผยแพร่ไปสู่สาธารณะชน
 
ประธานสมาคมเรกิที่เป็นทหารเรือในยุคนั้น ก็ต้องสละตำแหน่ง เพื่อไม่ให้ถูกจับตามองว่าเป็นการรวมกลุ่มคนเพื่อทางการเมือง
 
ทำให้เรกิญี่ปุ่น ถูกมองว่าสูญหายไป
แต่ความจริงคือ สมาคมเรกิ ยังคงมีอยู่
คนที่ฝึกเรกิ ยังคงฝึกอยู่
เพียงแค่เป็นการฝึกฝนกันภายใน
เฉพาะผู้ที่เป็นสมาชิกและได้รับการถ่ายทอดเท่านั้น
ไม่ได้เผยแพร่สู่สาธารณะ
 

ทำไมเรกิถึงโด่งดังที่ตะวันตก?

 
ในช่วงเวลาเดียวกัน เรกิ กลับไปโด่งดังมากที่อเมริกา!
 
ในขณะที่ญี่ปุ่นพักการเผยแพร่เรกิ
กลับกลายเป็นช่วงยุคทองของเรกิ ในโลกตะวันตก 
 
สิ่งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของเรกิตะวันตก ที่ทำให้มีบางส่วนที่แตกต่าง และเหมือนกัน ระหว่างเรกิญี่ปุ่น กับ เรกิตะวันตกเลยค่ะ
 
หลังจากที่ อาจารย์อูซุย ได้จัดตั้งสมาคมเรกิ มีลูกศิษย์ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชามากกว่า 2,000 คน แต่มีเพียง 21 คนเท่านั้น ที่ได้รับการเลือกให้ศึกษาในขั้น ชินปิเด็น (เรกิขั้นที่ 3) เนื่องจากในสมัยก่อน อาจารย์จะเป็นคนเลือกลูกศิษย์เพื่อถ่ายทอดวิชาต่อเอง โดยเลือกจากขั้น โอกุเด็น (เรกิ ขั้นที่ 2) 
 
ซึ่ง 1 ในนั้น มีหมอทหารอยู่คนนึง ชื่อ อาจารย์ ชูจิโร่ ฮายาชิ (Chuujiro Hayashi) ซึ่งเปิดคลีนิคของตัวเองอยู่ แล้วพบว่าเรกิช่วยส่งเสริมการฟื้นฟูคนไข้ในคลีนิคของเขาได้ จึงได้ทำการทดลอง และเริ่มมีการใช้มือในส่งเรกิ เข้ามาร่วมในคลีนิคของเขา จนกระทั่งเขาได้พัฒนาหลักสูตร เรกิในคลีนิคของเขาเอง
 

ภาพจาก Centro My Reiki

ต่อมามีผู้หญิงนิเสะ (Nisei) หรือชาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นคนนึง เดินทางมาจากฮาวาย มาที่คลีนิคของอาจารย์ ฮายาชิ เนื่องจากเธอป่วย และถูกวินิจฉัยจากแพทย์ว่าจะมีชีวิตอยู่อีกได้ไม่นาน แพทย์จึงแนะนำให้เธอกลับไปที่บ้านเกิดและแนะนำให้ไปที่คลีนิคนี้ 
 
หลังจากที่เธอได้เรียนรู้เรกิและนำไปใช้กับตัวเธอเอง 
เธอก็มีอาการดีขึ้นภายใน 2 เดือน
และอาการเจ็บป่วยของเธอก็หายขาดภายในระยะเวลา 6 เดือน!
 

ภาพจาก Reiki Melbourne

เธอคนนั้นชื่อ อาจารย์ ฮาวาโย ทาคาตะ (Hawayo Takata) ค่ะ

 
อาจารย์ ทาคาตะ จึงเป็นผู้ที่มีบทบาทมาก ๆ ในการนำเรกิ ไปสู่โลกตะวันตก
เพราะเธอสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางสุขภาพด้วยตัวเธอเอง รวมทั้งอาการที่หมอยังบอกว่าทำอะไรไม่ได้ แต่เรกิกลับฟื้นฟูให้เธอกลับมามีชีวิตอยู่ได้อีกครั้ง!
 
เธอช่วยงานอาจารย์ ฮายาชิที่คลินิคอีกเป็นปี ก่อนที่จะบินกลับไปที่ฮาวาย 
และได้เริ่มต้นเส้นทางการเผยแพร่ “เรกิ” ให้ชาวตะวันตกได้รู้จักตั้งแต่นั้นมา!
 

ภาพจาก The Mainichi

หลักสำคัญของ เรกิญี่ปุ่น คืออะไร?

 
หากคุณสนใจศึกษาเรื่องเรกิ มีสิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้อยู่ 3 เรื่อง
3 สิ่งนี้เป็นหลักสำคัญของเรกิ ที่ถูกถ่ายทอดกันมาจากต้นสาย นั่นก็คืออาจารย์ อูซุยค่ะ 
 
หลักสำคัญของเรกิ คือ  Gokai, Anshin Ritsumei และ Kyosei Poem
แอนขออธิบายแต่ละข้อพอสังเขป ดังนี้นะคะ
 
 

1. โกไค (Gokai, 五戒)

Usui Gokai
โกไค คือ หลักปฏิบัติ 5 ข้อที่อาจารย์อูซุยได้เขียนและถ่ายทอดไว้
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เรกิญี่ปุ่น ต้องคำนึงถึง ท่องให้ได้ จำขึ้นใจกันเลยนะคะ
 
ที่มา ก็มาจากที่ลูกศิษย์ลูกหา ก็พยายามจะถามหาเอาเคล็ดวิชา เคล็ดลับจากอาจารย์ ก็คงประมาณว่า “อาจารย์…อะไรเป็นเคล็ดวิชาของเรกิครับ?”
 
อาจารย์ก็เลยเขียนออกมา เป็น 招福 の泌法 萬病の霊薬 
แปลเป็นไทยก็คือ เคล็ดลับการดึงดูดความสุข ยาอายุวัฒนะสำหรับการรักษาโรคทั้งมวล ออกมา ดังนี้ค่ะ
 
招福 の泌法
เคล็ดลับการดึงดูดความสุข
 
萬病の霊薬 
ยาอายุวัฒนะสำหรับการรักษาโรคทั้งมวล
 
今日丈けは, 怒るな, 心配すな
ตลอดช่วงเวลาของวันนี้, ไม่โกรธ, ไม่กังวล
 
感謝し業をはげめ
มีความกตัญญูรู้คุณ และทำในสิ่งที่คุณตั้งใจจะทำ
 
人に親切に
สุภาพอ่อนโยนต่อผู้คน
 
朝夕合掌して心に念じ口に唱へよ
จากเช้าถึงเย็น พนมมือและภาวนาในใจตลอด
 
心身改善臼井靈氣療法
(สิ่งเหล่านี้คือ) การพัฒนาร่างกายและจิตใจ ด้วยวิธี อูชุยเรกิเรียวโฮ
 
肇祖 臼井甕男
ผู้ก่อตั้ง อูชุย มิคาโอะ
 

2. อันชิน ริทสุเมะ (Anshin Ritsumei , 安心立命)

Anshin Ritsume reiki
อันชิน ริทสุเมะ คือ การตระหนักรู้และยอมรับชะตาที่เราไม่สามารถควบคุมได้ และรักษาความสงบสุข และเป็นอิสระจากสิ่งทั้งปวง
 
Anshin (安心) คือ ความสงบสุข , สงบจิตสงบใจ
 
Ritsumei (立命) คือ การทำในสิ่งที่ควรทำ , ภารกิจที่ต้องทำให้สำเร็จ
 
ดังนั้นความหมายที่ซ่อนอยู่ของอันชิน ริทสุเมะ คือ 
หลังจากที่คุณทำทุกอย่างที่ต้องทำเสร็จสิ้นแล้ว คุณควรทิ้งสิ่งที่คุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ให้กับจักรวาล รักษาจิตใจและจิตวิญญาณให้สงบสุข โดยไม่ต้องกังวลอะไรสักอย่าง ความเข้าใจนี้ถือเป็น “ซาโตริตัวแรก” ของอาจารย์อุซุย เลยค่ะ
 
ปล.ในญี่ปุ่นใช้คำว่า ซาโตริ ซึ่งหมายถึง การตื่นขึ้นสู่จิตอันล้ำลึกของมนุษย์ หรือการตื่นรู้ความเป็นจริง
 
สิ่งนี้คนไทยยังไม่ค่อยรู้จักกันค่ะ เพราะเรกิในไทย ส่วนใหญ่ได้รับถ่ายทอดมาจากสายตะวันตก ซึ่งเน้นไปทางฮีลลิ่งกันเยอะ ส่วนนี้เป็นส่วนที่จะถ่ายทอดกันอย่างเข้มข้นใน ชินปิเด็น (เรกิ ขั้นที่ 3) ค่ะ 
 
 

3. บทกวี เกียวเซ (Gyosei Poem)

ในยุคญี่ปุ่นโบราณ จักรพรรดิองค์ที่มีความเป็นนักปราชญ์ ปรัชญา และยังเชี่ยวชาญบทประพันธ์ บทกวี ก็คือ จักรพรรดิเมจิค่ะ
 
จักรพรรดิเมจิ เคยแต่งบทกวีญี่ปุ่นหลายหมื่นบท 
ในช่วงเวลานั้น สมาคมเรกิของอาจารย์อูซุย ได้คัดเลือกบทกวีญี่ปุ่นมากกว่า 100 บทที่เขียนโดยจักรพรรดิเมจิ และรวบรวมไว้ถ่ายทอดให้เข้าใจถึงความแฝงของแต่ละบทอย่างลึกซึ้ง ซึ่งสมาชิกจะได้ร่วมกันอ่านและฟัง ในระหว่างการพบปะ มีตติ้งกันค่ะ
 
นอกไปจากนั้น อาจารย์ อุซุย ก็ยังสนับสนุนให้นักเรียนเรกิศึกษาบทกวีเกียวเซซึ่งประพันธ์โดยจักรพรรดิเมจิด้วยค่ะ
 
จากที่แอนเป็นสมาชิกของสมาคมเรกิญี่ปุ่น และได้รับการถ่ายทอดมา บอกได้เลยว่าแต่ละบท มีความหมายลึกซึ้งจริง ๆ ซึ่งหากตีความแค่การอ่าน อาจจะไม่ได้เข้าใจความหมายที่แท้จริงก็ได้ค่ะ 
 
ดังนั้นในระหว่างการมีตติ้ง เราก็จะหยิบเอาบทกวีเหล่านี้มาพูดคุยกัน รวมทั้งยังมีอาจารย์ ฮิโรชิ โดอิ ปรมาจารย์เรกิ ที่ท่านมาช่วยอธิบายความหมายของแต่ละบทกวีให้เข้าใจความหมายที่แท้จริงอีกขั้นนึงด้วย
 

ใช้พลังเรกิได้ยังไง?

 
     เมื่ออาจารย์อูซุยได้ค้นพบพลังงานเรกิ การเข้าถึงความสงบทางจิต และได้รับรู้ถึงความสามารถในการฮีลลิ่งได้ด้วยแล้ว อาจารย์ก็มีเป้าหมายที่ต้องการที่จะเผยแพร่สิ่งนี้กับผู้คนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
     อาจารย์อูซุย จึงได้ใช้กระบวนการส่งต่อพลังงานเรกิที่เรียกว่า “เรจู” (Reiju) ซึ่งเป็นวิธีที่จะส่งผ่านพลังงานเรกิไปสู่บุคคลอื่นได้ ในตะวันตกบางแห่งเรียกว่า แอดทูนเม้น (Attunement), อินนิทิเอชั่น (Initiation) , ทรานสมิตชั่น (Transmision) เหล่านี้มีความหมายคล้ายกันค่ะ จะต่างกันเพียงกระบวนการเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งยังคงหลักการเดียวกันก็คือ การปรับจูนพลังงานและส่งผ่านพลังงานจากผู้ถ่ายทอดไปสู่บุคคลอื่น
 
     อาจารย์อูซุยได้ให้เรจูครั้งแรก ที่เมืองฮาราจุกุ, จังหวัดโตเกียว และต่อมาเรจูได้มีวิวัฒนาการต่อเนื่อง หลังจากที่ได้เดินทางสู่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยอาจารย์ฮายาชิ และอาจารย์ทาคาตะ จนกระทั่งเป็นการแอดทูนอย่างในปัจจุบันนี้ค่ะ
 
 
Reiki Reiju
จากประสบการณ์ที่แอนได้รับการปรับจูน และเป็นผู้ปรับจูนพลังงานเรกิให้กับผู้อื่น ทั้ง 2 แบบ คือ เรกิญี่ปุ่น และเรกิวันตก พบว่า กระบวนการปรับจูนพลังงานนั้นมีความแตกต่างกันพอสมควรเลยค่ะ
 
    • การแอดทูนเรกิของสายตะวันตก จะมีกระบวนการที่ซับซ้อน พลังงานก็มีลักษณะเฉพาะ เช่น แสง สี การรับรู้ทางกายภาพ ความอลังการ ความสว่าง 
    • การเรจูของเรกิญี่ปุ่น จะมีความเรียบง่าย สงบ รับรู้ถึงความสว่างของพลังงาน ความเป็นธรรมชาติ รับรู้ถึงสภาวะสมาธิอย่างชัดเจน 
 
     ซึ่งในคลาสเรียนของเราตั้งแต่เรกิ โชเด็น (เรกิขั้นที่ 1) ก็จะมีการแอดทูนทั้งหมด 3 รอบ เพื่อให้นักเรียนได้สัมผัสถึงความเหมือนและความแตกต่างกันของทั้งเรกิตะวันตก และเรกิญี่ปุ่นเลย
     โดยในครั้งแรกจะเป็นการเปิดเส้นทางเรกิค่ะ แต่จริง ๆ แล้วมันคือ การเตรียมพร้อมตัวคุณเพื่อให้สามารถรับพลังงานเรกิให้เข้ามาปรับสุขภาพให้ดีขึ้น ส่วนการแอดทูนอีก 2 ครั้ง จะทำความสะอาดเส้นทางพลังงานเพื่อทำให้มันส่งผลมากขึ้นและการไหลของเรกิอย่างมีประสิทธิภาพขึ้นค่ะ
 
มีหลายคนที่ชอบแบบตะวันตก อีกหลายคนก็ชอบแบบเรกิญี่ปุ่น ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล เพราะสุดท้ายแล้วเป้าประสงค์ของการปรับจูนพลังงาน ก็เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงแหล่งพลังงานเรกิ และเชื่อมต่อกับพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนกัน 
 

หลังจากที่คุณได้รับการปรับจูนพลังงานเรกิแล้ว

 
คุณก็จะสามารถเรียกใช้พลังงานเรกิได้ทันที ซึ่งพลังงานเรกิ เป็นพลังที่ใช้งานง่าย และเอนกประสงค์มาก ๆ โดยการใช้งานที่หลากหลาย เช่น

✅ ส่งเรกิให้ตัวเอง
✅ ส่งเรกิให้กับผู้อื่น แบบเจอตัว
✅ ส่งเรกิให้ผู้อื่น แบบต่างสถานที่กัน
✅ ส่งเรกิให้ครอบครัว/พ่อแม่/ลูก
✅ ส่งเรกิให้สัตว์เลี้ยง
✅ ส่งเรกิให้เพื่อน
✅ ส่งเรกิให้อาหาร/น้ำดื่ม
✅ ส่งเรกิให้บ้าน
✅ ส่งเรกิให้ต้นไม้
✅ ส่งเรกิให้ธุรกิจ/โปรเจคงาน
✅ ส่งเรกิให้ตัวเองตอนนำเสนองาน
✅ ส่งเรกิให้กับตัวเอง แบบต่างมิติเวลา
✅ ส่งเรกิให้กับผู้อื่น แบบต่างมิติเวลา
✅ ส่งเรกิให้กับตัวเองตอนวิ่งมาราธอน
✅ ส่งเรกิให้กับผู้อื่นตอนไปพิชชิ่งงาน
✅ ใช้เรกิปรับสมดุลร่างกาย
✅ ใช้เรกิปรับสมดุลจักระ
✅ ฯลฯ

 
ยังมีอีกหลากหลายการใช้พลังงานเรกิ ที่ผู้ฝึกเรกินำไปใช้กันค่ะ อย่างที่บอกไปว่าพลังงานเรกิใช้งานง่ายมาก แค่เพียงคุณได้รับการปรับจูนพลังงานแล้ว 
 
คุณอาจจะได้ค้นพบการใช้งานแบบเฉพาะตัวคุณเองก็ได้ค่ะ!
 

ใช้เรกิในโรงพยาบาลได้จริงหรอ?

จริงค่ะ!
     ตอบแบบทันทีเลย เพราะว่าเรกิถูกนำไปใช้ในโรงพยาบาลจริง ๆ
โดยเฉพาะโรงพยาบาลในอเมริกา มีการศึกษาว่า โรงพยาบาลที่ดีที่สุดในอเมริกา ใน 25 อันดับต้น ๆ มีโปรแกรมเรกิในโรงพยาบาลด้วย 
รวมทั้งเรกิยังเป็น ตัวเลือกใน 3 อันดับแรก ที่โรงพยาบาลนำเสนอให้กับผู้ใช้บริการด้วยค่ะ (ข้อมูลจากการสำรวจ ในปี 2010 American Hospital Association Survey)
 
 
 
โดยครั้งแรกของการใช้เรกิในโรงพยาบาล คือ ที่ Portsmouth Regional Hospital ตั้งแต่ปี 1997 แล้วค่ะ
 
ก็คือหลังจากเรกิ เผยแพร่ไปที่อเมริกา ก็มีการนำไปใช้ในโรงพยาบาลเพื่อการใช้งานจริงเลย 
ในครั้งแรกที่นำไปใช้ในโรงพยาบาล ก็คือไปใช้สำหรับคนไข้ผ่าตัดด้วยนะคะ
โดยจะแบ่งการให้เซสชั่นเรกิ เป็นช่วง ๆ ได้แก่
– ตอนเช้าก่อนผ่าตัด
– ก่อนเข้าห้องผ่าตัด เป็นเซสชั่น 15-20 นาที
– บางเคส คนไข้ขอให้ส่งเรกิในห้องผ่าตัดด้วย
– หลังการผ่าตัด
– หลังผ่าตัด 1-2 วัน
 
โรงพยาลพบว่า หลังจากการผ่าตัด ผู้ใช้บริการมีความวิตกกังวลลดลง ความเครียดลดลง ความพึงพอใจสูงขึ้น ทำให้การประเมินความพึงพอใจของโรงพยาบาลสูงขึ้นตามไปด้วยค่ะ
Portsmouth

Portsmouth Regional Hospital

นอกไปจากนั้น โรงพยาบาลอีกหลายแห่งก็ยังนำเรกิไปใช้ เช่น

 
  • Mayo Clinic โรงพยาบเก่าแก่ของอเมริกา ที่มีชื่อเสียงด้านการรักษามะเร็ง!
  • The California Pacific Medical Center โรงพยาบาลใหญ่ที่สุดใน ภาคเหนือของรัฐแคลิฟอเนีย!
  • Yale New Heaven Hospital โรงพยาบาลที่มีผลงานวิจัยไปต่อยอดในการศึกษา!
  • Hartford Hospital ผู้ใช้บริการ 84% กล่าวว่าเลือกโรงพยาบาลนี้เพราะมีเรกิ!
  • Brigham and Woman’s Hospital โรงพยาลที่เปิดสอนเรกิให้กับบุคลากรทางการแพทย์และพยาบาลด้วย!
 
     เหล่านี้ก็เป็นสิ่งพิสูจน์ได้ว่าเรกิมีประสิทธิภาพจริง ไม่งั้นโรงพยาบาลในต่างประเทศคงไม่ยอมรับกันอย่างแพร่หลายขนาดนี้ 
ส่วนนึงอาจเป็นเพราะในต่างประเทศค่อนข้างเปิดรับ ศาสตร์ใดก็ตาม ที่ให้ผลดีแก่ผู้เข้ารับบริการ เพราะก็จะยิ่งทำให้คนไข้ฟื้นตัวเร็วขึ้น ความพึงพอใจมากขึ้น คนไข้ใช้เวลาพักฟื้นในโรงพยาบาลน้อยลง ทำให้สามารถช่วยคนได้มากขึ้นอีก
 
     ในอนาคต ประเทศไทยเราคงมีการนำเรกิไปใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้นบ้างนะคะ
แอนเห็นมีโรงพยาบาลชื่อดังแห่งนึง เริ่มนำสัญลักษณ์เรกิไปพิมพ์บนชุดคนไข้ของโรงพยาบาลด้วย คิดว่าน่าจะมีการศึกษาเรื่องนี้กันภายใน แต่ยังไม่ได้เผยแพร่มากนัก 
     หากท่านใดแวะมาอ่านบทความนี้ มีความเข้าใจมากขึ้นและมีแรงผลักดันให้ไปต่อยอดค้นคว้าเพิ่มเติม เพื่อนำมาใช้ประโยชน์กับตัวเองและผู้อื่นได้ด้วย สามารถแลกเปลี่ยน พูดคุยกันได้นะคะ ยินดีเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ค่ะ 🙂
 
 
การศึกษาและการนำเรกิไปใช้ในโรงพยาบาลยังมีอีกมากเหลือเกินค่ะ
รวมทั้งพวกงานวิจัยต่าง ๆ จนถึงปัจจุบันก็หลายพันเคส จะหยิบมาเล่าในนี้น่าจะทำให้บทความยาวกว่านี้อีกมาก เอาไว้เดี๋ยวจะเขียนบทความแชร์ให้ฟังอีกทีนะคะ
 

บทสรุปส่งท้ายจากผู้เขียน

แอนก็เป็นคนนึงที่ เคยสงสัยว่า …
    • พลังงานคืออะไร? 
    • เรกิคืออะไร? 
    • เรกิมาจากญี่ปุ่น ทำไมไปโด่งดังที่อเมริกา? 
    • ใช้เรกิยังไง? 
    • สัมผัสพลังงานได้จริงไหม?
    • ทำไมเรกิช่วยเรื่องสุขภาพ?
 
     เหล่านี้เป็นคำถามที่แม้จะเคยเรียนไปแล้ว ก็ยังไม่สามารถตอบคำถามได้ทั้งหมด อาจจะเพราะแต่ละสายการสอน ก็จะมีมุมมองของตัวเอง ทำให้ถ่ายทอดมาเฉพาะในมุมมองเดียวเท่านั้น ส่วนเรื่องพลังงานเรกิในประเทศไทย ยังไม่มีข้อมูลเท่าไหร่ หาในกูเกิ้ล ก็จะเจอแต่ข้อมูลของต่างประเทศ แต่ละข้อมูลก็มีความแตกต่าง ย้อนแย้งกันบ้าง ยิ่งอ่านก็จะยิ่งงงๆ กันไปใหญ่
 
     จนกระทั่งแอนได้ศึกษามากขึ้นจาก ใช้งานจริงมากขึ้น ประยุกต์ใช้มากขึ้น เก็บเคสทั้งของตัวเองและของนักเรียนที่ได้ถามกันมา เรียนพลังงานอื่น ๆ นอกเหนือจากเรกิอีกเยอะมาก ๆๆๆๆ และบินไปเรียนและได้รับการถ่ายทอดโดยตรงจากอาจารย์ที่ญี่ปุ่น ซึ่งก็ใช้เวลาสะสมประสบการณ์มาหลายปี สอนพลังงานมาเป็นร้อยคน จนถึงจุดที่เราได้เห็นภาพรวมของเรื่องพลังงาน ได้เข้าใจมุมมองของเรกิทั้งแบบตะวันตกและแบบญี่ปุ่น ได้รู้ว่าอะไรเป็นข้อเท็จจริง อะไรเป็นการตีความ อะไรเป็นจุดเปลี่ยนของการเปลี่ยนแปลงพลังงาน ฯลฯ
 
     สุดท้ายแล้ว จึงอยากเขียนบทความนี้ เพื่อให้กับคนที่เคยเป็นแบบเรา อย่างน้อยถ้าคุณกำลังสงสัยเรื่องพลังงาน และอยากรู้เรื่องเรกิที่แท้จริง จะได้ไม่ต้องไปงมหาเข็มในมหาสมุทร แบบที่แอนเคยทำมาค่ะ ^^
 
ขอให้ประสบการณ์นี้เป็นเหมือน Short cut ให้กับคุณ
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณนะคะ
 

ส่วนใครอยากที่จะเรียนรู้คลาสเรกิญี่ปุ่น

จากสายต้นกำเนิดอยู่ที่ญี่ปุ่นเลย
เราจะมาเรียนรู้ถึงต้นกำเนิดของเรกิ
รวมทั้งวิธีการฝึกในแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมที่เป็นไปเพื่อการพัฒนาจิตวิญญาณด้วยค่ะ

 
หากสนใจติดต่อแอดไลน์
กดเพิ่มเพื่อนได้เลยค่ะ
add line
 

#เรกิ #reiki #reikithailand