เมื่อวันก่อนโพสต์บทความ 7 ความลับของเรกิ ไป
มีนักเรียนถามหลังไมค์กันเข้ามาถึงเรื่องเรกิช่วยทำความสะอาดกรรม และ ทรอม่า เลยได้อธิบายเกี่ยวกับพลังงานและร่างกายไปด้วย แอนเลยคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจพัฒนาตัวเอง และอยากให้สุขภาพดีมีความสุขด้วย แอนเลยหยิบบางส่วนมาเล่าให้ฟังค่ะ
บทความทั้งหมดเขียนจากการศึกษาและประสบการณ์ทางพลังงานจริง โดยเฉพาะ ส่วนที่เป็นกระบวนทัศน์ใหม่ของการบำบัด (New Healing Paradigm) ที่แอนได้ศึกษาและนำไปประยุกต์ใช้แล้วได้ผลลัพธ์ที่ดีมาก ๆ ดังนั้นจึงมีหลายส่วนที่แตกต่างไปจากความเชื่อและวิถีเดิม ๆ ถ้าพร้อมเปิดประตูสู่โลกแห่งพลังงานแล้ว อ่านต่อได้เลยค่ะ 🙂
ก่อนอื่นแอนจะสรุปภาพรวมให้คุณได้รู้จักกับร่างกายเรากันก่อนค่ะ โดยจะพยายามอธิบายและยกตัวอย่างประกอบ เพื่อทุกคนจะได้เข้าใจกันได้อย่างง่าย ๆ นะคะ 🙂
ร่างกายมนุษย์เรามีระบบการทำงานมากมาย หลากหลาย ซับซ้อน น่าอัศจรรย์มาก ๆ เลยค่ะ (เหมือนกับระบบพลังงานเลย) บทความนี้แอนหยิบเอาเฉพาะระบบที่เกี่ยวกับการใช้ชีวิตของคนเราในปัจจุบันมากที่สุด ซึ่งเรียกว่า ระบบการทำงานที่เกี่ยวข้องกับการตอบสนองอย่างอัตโนมัติ ซึ่งมีอยู่ 2 ระบบ คือ
● 1. ซิมพาเธติค (Sympathetic)
เป็นระบบการตอบสนองตามอัตโนมัติเมื่อร่างกายได้รับสัญญาณว่ามีอันตรายเกิดขึ้น เช่น
วันหนึ่งคุณเดินเข้าป่า แบกเป้ แบกเต๊นท์ไปในป่าใหญ่ ที่ภูเขาสูง คุณเริ่มเข้าไปในป่าที่ลึกขึ้น ๆ ซักพักนึง คุณรู้สึกเหมือนมีใครกำลังจ้องมองคุณอยู่ คุณหันไปมองรอบ ๆ แล้วก็สะดุดกับสายตาคู่หนึ่งจ้องมาที่คุณจริง ๆ ด้วย เป็นสายตาของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ร่างกายมีความกำยำ มี 4 เท้า ตามลำตัวมีลายเป็นเส้น ๆ สิ่งมีชีวิตนั้นมีความนิ่ง เงียบ แต่ดูน่าเกรงขามเหลือเกิน และด้วยความทรงจำตอนวัยเด็กที่เคยไปเที่ยวสวนสัตว์และดูสารคดีมาบ้าง สมองคุณก็ระลึกได้ทันทีว่านี่คือ เสือโคร่ง!!!
ทันใดนั้นร่างกายของคุณจะตอบสนองทันที ด้วยหัวใจที่เต้นเร็วขึ้น คุณเริ่มหายใจถี่ขึ้น รูม่านตาขยาย เหงื่อซึมทั่วทั้งตัว กล้ามเนื้อเริ่มแข็งเกร็งขึ้นมาทุกส่วน อยู่ดีๆต่อมน้ำลายก็แห้งขึ้นมาซะงั้น ทำให้คุณกลืนน้ำลายทันที ต่อมหมวกไตหลั่งอดรีนาลีน ตับของคุณจะขับน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่กระแสเลือดเพื่อให้คุณมีพลังงานที่พลุ่งพล่าน และแน่นอนว่าร่างกายปิดระบบการย่อยอาหารไปก่อน เพราะคุณยังไม่จำเป็นต้องย่อยอาหารในตอนนี้แน่นอน!
การตอบสนองอัตโนมัติเหล่านี้ เป็นไปอย่างรวดเร็วโดยอัตโนมัติ ในขณะที่คุณยังไม่มีเวลาคิดถึงมันด้วยซ้ำ สิ่งเดียวที่คุณต้องเลือกคือ 1.สู้กับเสือ 2.วิ่งหนีไปให้เร็วที่สุด เพราะการตอบสนองของร่างกายคุณเหล่านี้เป็นไปเพื่อให้คุณ “สู้” หรือ “หนี” และคือสภาวะที่คนในปัจจุบันเรานิยามกันว่า “ความเครียด” ค่ะ
ปฏิกิริยาเหล่านี้เป็นการตอบสนองของมนุษย์เรามาแต่เดิมแล้วค่ะ ซึ่งเราอาจจะมีวิวัฒนาการทางสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยี สังคม การทำมาหากิน ความสัมพันธ์ แต่สิ่งที่เรายังคงเหมือนเดิมคือระบบการทำงานของร่างกายที่ตอบสนองเพื่อการมีชีวิตรอด หรือเราอาจจะเรียกว่า “สัญชาตญาณ” ก็ได้
ดังนั้นจะเรียกว่า ระบบซิมพาเธติค เป็น “ระบบเครียด” ก็อาจจะเข้าใจได้ง่ายขึ้นนะคะ (รวมทั้งความกังวล ความกระวนกระวายใจ ความเศร้า เหงา เซ็ง เจ็บ แค้น เคือง โกรธ โทษคนอื่น เกลียด และสารพัดอารมณ์ลบทั้งหลายด้วยค่ะ )
● 2. พาราซิมพาเธติค (Parasympathetic)
เป็นระบบการทำงานเมื่ออยู่ในสภาวะปกติ ผ่อนคลาย โดยอวัยวะต่าง ๆ ก็ทำงานอย่างปกติสุข
เมื่อเราผ่อนคลาย เมื่อไม่มีอันตราย ไม่มีภัยคุกคาม ระบบนี้ก็จะเปิดทำงานอย่างเต็มที่ค่ะ เป็นการส่งสัญญาณว่าปลอดภัยแล้วนะ โอเคแล้ว อวัยวะทั้งหมดของคุณก็กลับมาโอเคเช่นกัน เช่น สมมุติว่าคุณวิ่งเก่งมาก สามารถหนีเสือได้ทัน คุณวิ่งมาไกลเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ตอนนี้คุณไม่เห็นเสือตัวนั้นอีกแล้ว คุณเจอที่พักของเจ้าหน้าที่ดูแลป่า เจ้าหน้าที่บอกคุณว่าไม่เป็นไรแล้ว นั่งพักก่อน เดี๋ยวจะพาคุณกลับบ้าน คุณรู้สึกว่ารอดแล้ว ปลอดภัยแล้ว คุณทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ ซักพักคุณเริ่มหายใจได้ยาวขึ้น หัวใจเริ่มกลับมาทำงานตามปกติ คุณย่อยอาหารได้ดีขึ้น กล้ามเนื้อเริ่มคลายออกกลับไปอยู่ตามที่ควรจะเป็น การเปลี่ยนแปลงทางสรีระวิทยาหล่านี้ส่งสัญญาณแพร่กระจายออกไปทั่วทั้งร่างกาย อันเป็นผลมาจากระบบซิมพาเธติคทำงานอีกครั้ง
จะเรียกระบบ พาราซิมพาเธติค ว่าเป็น “ระบบผ่อนคลาย” ก็ได้นะคะ (รวมทั้งความรู้สึกขอบคุณ สบายใจ โล่ง ซาบซึ้ง กตัญญู เมตตา กรุณา สงบสุข รวมทั้งความรู้สึกที่เป็นบวกทั้งหลายด้วยค่ะ)
ที่สำคัญคือ ในช่วงการนอนหลับ ร่างกายเราจะเข้าสู่โหมดการฟื้นฟูและซ่อมแซมตัวเอง จากการใช้ชีวิตในแต่ละวันของเรา ดังนั้นช่วงเวลานอน โดยเฉพาะช่วงหลับลึกร่างกายจะเข้าสู่โหมดการทำงานของระบบผ่อนคลายนี้ค่ะ ยิ่งถ้าเราเปิดใช้งานโหมดนี้ได้ชำนาญมากเท่าไหร่ ร่างกายเราจะเข้าสู่การฟื้นฟูได้มีประสิทธิภาพด้วยเช่นกันค่ะ
____
ทั้ง 2 ระบบนี้เป็นไปเพื่อการมีชีวิตรอดของมนุษย์เราเหมือนกัน และก็มีประโยชน์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลยค่ะ โดยการทำงานของ 2 ระบบนี้ ทำงานแยกกันและสลับกันอยู่ตลอดเวลา เมื่อระบบพาราซิมพาเธติคทำงาน ระบบซิมพาเธติคก็จะหยุดทำงานไป, เมื่อระบบซิมพาเธติค ระบบพาราซิมพาเธติคก็จะหยุดทำงานไป ดังนั้นร่างกายคุณจะเปิดใช้งานเพียงแค่ระบบเดียว สลับกันไปแบบตลอดเวลา ทั้งวัน ทั้งคืน ยกตัวอย่างเช่น
– เวลาคุณเครียด คุณจะไม่สามารถรู้สึกสบายใจได้
– เวลาคุณมีความเมตตา คุณจะไม่สามารถโกรธได้
– เวลาคุณรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณ คุณจะไม่โทษคนอื่น เป็นต้น
ลองคิดดูสิคะ…
ถ้าเราเปิดใช้งานโหมดเครียดตลอดเวลา ร่างกายเราจะตอบสนองยังไง เวลาที่คุณเครียดคุณจะหายใจตื้นเพียงแค่ลำคอ หัวใจเต้นเร็ว เหนื่อยง่าย กินอะไรก็ท้องอืดเพราะระบบย่อยบอกว่ายังไม่ใช่เวลามาย่อยตอนนี้ ระบบขับถ่ายก็ผิดปกติ ท้องผูกถ่ายไม่ออก กล้ามเนื้อตึงเกร็งเหมือนเตรียมสู้หรือหนีตลอดเวลา ส่งผลเป็นออฟฟิศซินโดรมเรื้อรัง นวดกี่ที ช็อกเวฟกี่ครั้ง ก็ยังกลับมาเป็นอีก อดรีนาลีนก็หลั่งให้คุณตื่นตัวทั้งวันทั้งคืนแม้กระทั่งตอนนอน นอนก็ไม่หลับกระสับกระส่าย …..
•ร่างกายคุณจะเป็นยังไง?
•สุขภาพคุณจะเป็นแบบไหน?
•คุณภาพชีวิตคุณจะเป็นยังไง?
ในทางกลับกัน…
จะเป็นยังไงถ้าคุณมีอารมณ์ดี ผ่อนคลาย สบาย สงบสุข คุณหายใจได้ยาวขึ้น หัวใจคุณสงบลง ร่างกายคุณยืดหยุ่น อยากทำอะไรก็ทำได้ทุกอย่าง นอนหลับลึก พักผ่อนได้เต็มที่ ตื่นมาหัวโล่ง สมองปลอดโปร่ง มีไอเดีย มีความคิดดีขึ้น มีความคิดสร้างสรรค์ คุณสัมผัสได้ถึงได้ถึงความสงบสุขของตัวเอง และส่งผ่านความสุขนี้ไปยังคนรอบข้างด้วย …..
•ร่างกายคุณจะเป็นยังไง?
•สุขภาพคุณจะเป็นแบบไหน?
•คุณภาพชีวิตคุณจะเป็นยังไง?
นี่แค่เสี้ยวเดียวของร่างกายเรานะคะ ยังมีเรื่องพลังงานที่เกี่ยวข้องกับร่างกายเราอีก รวมทั้งยังมีเครื่องมือพลังงานที่ทรงประสิทธิภาพอย่าง “เรกิ” เข้ามาร่วมด้วย แน่นอนว่าเรกิทำให้คุณผ่อนคลาย สงบ และยังนำไปใช้ร่วมกับการทำสมาธิได้ดีมาก ๆ ด้วย ซึ่งหากเราเข้าใจทั้งพลังงานและร่างกายเราแล้ว ก็จะทำให้เราสามารถเข้าถึงการมีสุขภาพดี มีความสุขและเข้าถึงความสงบทางจิตวิญญาณได้อย่างง่ายดายมากขึ้นค่ะ
เผลอแป๊บเดียวเขียนเล่ามาซะยาวเหยียดเลยค่ะ ^^
หวังว่าทุกคนน่าจะเริ่มเข้าใจ(ร่างกาย)ตัวเองมากขึ้นนะคะ
☆ อย่างน้อยวันนี้คุณเริ่มถามตัวเองว่า“ตอนนี้ฉันเปิดใช้งานระบบอัตโนมัติไหนอยู่…ระบบเครียด หรือ ระบบผ่อนคลาย? “นี่ก็เป็นสัญญาณที่ดีที่คุณได้เริ่มเข้าใจตัวคุณเองด้วยเช่นเดียวกัน
เดี๋ยวบทความหน้าเรามาว่ากันต่อถึง พลังงานที่เกี่ยวข้องกับร่างกายเราบ้าง
ยังมีเรื่องราวที่รอให้เราไปค้นพบอีกมากเลยค่ะ 🙂
_________
ส่วนใครคุ้ยเคยกับเรื่องพลังงานบ้างแล้ว และสนใจสัมผัสพลังเรกิบ้าง
☆ แอนมีคลาสเรกิญี่ปุ่น “เรกิโชเด็น (靈氣初傳)หรือเรกิ ขั้นที่ 1”
ในวันที่ 9-10 ก.ย. นี้ค่ะ
*****เหลือ 2 ที่สุดท้าย*****
คุณจะได้…
📢 เรียนรู้เรกิญี่ปุ่นจากสายสืบทอดญี่ปุ่นดั้งเดิม และเทคนิคเรกิตะวันตกที่โด่งดังไปทั่วโลกด้วย
📢 Reiki Certification จากสายสืบทอดญี่ปุ่น
📢 Workshop ร่วมกัน 2 วันเต็ม ๆ เลยค่ะ
📢 แอนคอยดูแลอย่างใกล้ชิดจนมั่นใจว่าคุณสามารถสัมผัสพลังงานและนำเรกิไปใช้งานได้จริง ๆ
📢 Follow up พลังงานต่อเนื่อง
📢 สามารถปรึกษาได้ตลอด แม้จะจบคลาสไปแล้วก็ยังติดต่อได้อยู่นะคะ ^^
ข้อมูลเพิ่มเติมแอดไลน์สอบถามได้ที่นี่
.
หวังว่าจะได้ร่วมเดินทางในเส้นทางพลังงานไปด้วยกันนะคะ
.
.
❤️ Soul Good Healing ❤️
อยากให้ทุกคนสัมผัสพลังงานที่มีอยู่จริง
และพัฒนาจิตวิญญาณไปร่วมกันค่ะ
#shoden
#reiki
#japanesereiki
#เรกิ
#เรกิญี่ปุ่น
#โชเด็น