อดีตเปลี่ยนไม่ได้ แต่ทำความเข้าใจได้
คุณเคยมีความรู้สึกที่…..
-ยังวนเวียนอยู่กับเรื่องในอดีตที่ผ่านมาแล้ว
-ทั้งความรู้สึกผิด เสียใจ หรือ
-บางเรื่องที่คุณรู้สึกว่าตัดสินใจผิดพลาดไป หรือ
-มัวแต่นึกวิตกกับคำพูดของคนอื่น แล้วก็ยังนึกถึง
-แล้วก็เอาเรื่องนั้นออกไปจากหัวไม่ได้บ้างไหมคะ?
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความรู้สึก อารมณ์ ความคิด ที่บางทีเราอาจจะคิดว่ามันไม่เป็นไร เดี๋ยวก็เลิกคิด เดี๋ยวอารมณ์ก็หายไปเอง
แต่เชื่อไหมคะ…ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้หายไปไหนเลย
เหล่านี้ยังคงอยู่ในร่างกายเรา ยังคงส่งสัญญาณบอกเรา รอให้เราไปรับรู้และจัดการมัน
การที่เรามีอารมณ์ ความรู้สึก หรือความคิด เราก็มักจะคิดวนไปวนมา ซ้ำไปซ้ำมา จนความคิดและอารมณ์นั้นมันเข้มข้นขึ้น ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้สิ่งเหล่านี้มีมวลมากขึ้น จนกระทั่งตกผลึกกลายเป็นก้อนพลังงานที่ติดอยู่ตามร่างกายของเรา
#ในสายพลังงาน เรารู้ ๆ กันว่าอาการทางกายภาพต่าง ๆ ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากพลังงานทั้งนั้น
แล้วอาการทางกายภาพเหล่านี้ ไม่ได้อยู่ดีดีจะเกิดก็เกิดขึ้นมานะคะ แต่ต้องใช้ระยะเวลาก่อตัว รวมตัว และสะสมเยอะขึ้น ๆ จนพลังงานนั้นมีมากพอที่จะแสดงออกมาทางกายภาพ ต่อมาก็กลายมาเป็นอาการปวดของร่างกาย เช่น ปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดคอ เจ็บสะบัก ปวดหัว เวียนหัว ฯลฯ

ภาพแสดงพื้นที่ความร้อนของร่างกาย เวลามีอารมณ์ต่าง ๆ จาก These heat maps reveal where we feel love, anger, shame & sadness on our bodies
ดังนั้นจะเป็นการดีกว่าไหมถ้าเรารับรู้และมีวิธีจัดการกับสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยตัวเองตอนนี้เลย!
เหมาะสำหรับคนที่ต้องการจัดการจริง ๆ นะคะ
ทุกคนสามารถทำตามได้เลยค่ะ
1.ซื่อสัตย์กับตัวเอง
เรารู้สึกยังไง รู้สึกอะไรก็คือแบบนั้น
ข้อแรกนี้สำคัญมากๆที่สุด เพราะการที่เราไม่ยอมรับกับตัวเอง ก็เท่ากับว่าเรากำลังแค่ปิด ๆ มันไป ทำเสมือนว่ามันไม่เคยเกิดอะไรขึ้น
คนส่วนใหญ่มักชอบหนีปัญหา และมักบอกกับตัวเองว่า ไม่เป็นไรหรอก ทุกอย่างปกติดี ไม่ได้รู้สึกอะไรเลย
ซึ่งเราบอกตัวเองด้วยจิตสำนึกว่ามันไม่เป็นอะไรหรอก แต่ว่าจิตไร้สำนึกของเรา(ผู้ที่เข้าใจด้วยอารมณ์ ความรู้สึก) กลับบอกว่า “เห้ยยย! แกยังรู้สึกอยู่นะ! แกยังมีอารมณ์อยู่นะ!” แต่เราก็ยังไม่สนใจ ยังคงบอกว่าไม่เป็นไรอยู่
มันก็เหมือนเราเองที่กำลังกดมันไว้ เก็บมันไว้ มันไม่หายไปไหนค่ะ สุดท้ายแล้วมันก็ยังคงเป็นก้อนพลังงานที่ถูกบีบ ๆ อัด ๆ ฝังอยู่ภายในร่างกายเราอยู่ดีค่ะ
ดังนั้นซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเองไปเลย ยังไงมันก็คือตัวเราค่ะ
2.กล้าที่จะนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตนั้น
คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าการทำเป็นลืมสิ่งนั้นไป ทำเป็นเหมือนว่าอดีตนั้นไม่เคยเกิดขึ้น หรือไม่สนใจลืม ๆ มันไป แล้วจะทำให้เรารู้สึกดีขึ้น แล้วหายจากความรู้สึกนั้นไปเอง
แต่ว่าความจริงแล้วมันเหมือนการหลอกตัวเองค่ะ
มันรู้สึกดีขึ้นไหม ก็น่าจะดีขึ้นจริง…แต่ว่าแค่ชั่วคราวเท่านั้น เพราะยังไงจิตไร้สำนึกเราก็ยังเก็บเหตุการณ์นั้นไว้พร้อมกับอารมณ์และความรู้สึกอยู่ข้างในอยู่ดี
ดังนั้นถ้าเราต้องการจะจัดการกับความรู้สึกกับอารมณ์ที่ผูกอยู่กับเหตุการณ์ในอดีตนั้น เราก็ต้องกล้าที่จะพูดถึงและเผชิญหน้ากับสิ่งนั้นก่อนค่ะ
3.มองในมุมของบุคคลที่ 3

โดยมากเวลาที่เรามีปัญหากับอดีต จากความคิดและความรู้สึก เป็นเพราะเรามองเรื่องนั้นแค่เพียงจากมุมมองของเราเพียงอย่างเดียว
คุณเคยดูละครน้ำเน่าซักเรื่อง ที่นางเอกเห็นพระเอกอยู่กับผู้หญิงคนอื่น แล้วคิดไปเองว่าพระเอกสนใจคนนั้น เลยงอนพระเอกแล้วหนีหายไหมคะ?
.
.
.
คุณคิดว่านางเอกงี่เง่าไหมคะ?
.
.
.
แล้วคุณมีอะไรจะบอกนางเอกไหมคะ?
แน่นอนว่าคุณก็มักจะบ่นว่า ทำไมนางเอกงี่เง่าแบบนี้นะ
หลายคนก็จะบอกว่าเหตุการณ์มันไม่ได้เป็นแบบที่นางเอกเข้าใจซักหน่อย ทำไมไม่ถามพระเอกให้มันรู้เรื่อง ผู้หญิงคนนั้นมันแค่ลูกค้าเอง มัวแต่งอนไม่พูดไม่บอก บลาบลาบลา…
เชื่อไหมคะ ว่าในเหตุการณ์จริง หลาย ๆ ครั้ง “เราก็เป็นเหมือนนางเอกในเรื่องเหมือนกันค่ะ” เราเข้าใจเหตุการณ์นั้นเพียงแค่มุมมองที่เราเห็น ซึ่งมันเป็นเพียงแค่เสี้ยวเดียวของเหตุการณ์ทั้งหมด หรืออาจจะเป็นแค่ 1/100 เลยก็ได้ แล้วเราก็ตัดสินเหตุการณ์นั้นจากมุมมองที่เราเห็นเพียงเท่านั้น บวกกับความคิด ความรู้สึกจากประสบการณ์เดิมของเรา เหตุการณ์นั้นจึงถูกรับรู้จากแค่มุมมองที่เรามองเห็นมัน จริงไหมคะ?

แล้วทำไมพอเราออกมาเป็นบุคคลที่ 3 หรือเป็นผู้ชมทางบ้านแล้วเราไม่คิดแบบนางเอกนั้น
-นั่นก็เพราะว่าเราเห็นละครเรื่องนั้นจากหลายมุม หลายฉาก หลายตอน ทั้งตอนที่มีนางเอก และฉากที่ไม่มีนางเอกอยู่ ทำให้เราเข้าใจเหตุการณ์หลายมุมมากขึ้นกว่านางเอก
-เพราะเราไม่มีอารมณ์ที่ผูกไว้กับเหตุการณ์นั้น เราไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเหตุการณ์ที่นางเอกเจอ หรือแม้แต่กับละครเรื่องนี้ก็ตาม ทำให้เราก็จะมองเหตุการณ์นั้นอย่างเป็นกลาง (แม้จะเห็นจากหลายฉากก็ตาม)
ดังนั้นตอนที่มองย้อนกลับไปในเหตุการณ์ในอดีตนั้น ลองมองให้ตัวเองเป็นบุคคลที่ 3 ที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับเหตุการณ์นั้น (สำคัญคือต้องมองในมุมคนอื่นจริงๆ ไม่ใช่จากมุมมองของตัวเรานะคะ) แล้วคุณจะได้เห็นมุมมองอื่น ๆ และเข้าใจบางอย่างที่คุณอาจไม่เคยนึกถึงมาก่อนก็ได้ค่ะ
4. เรียนรู้กับอดีตนั้น

การที่เรายังรู้สึกหรือยังมีอารมณ์กับเรื่องในอดีตอยู่ จริง ๆ เพราะจิตไร้สำนึกเรายังไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร แล้วเราต้องจัดการกับมันอย่างไร เลยส่งสัญญาณเตือนมาให้เรารับรู้อยู่ตลอดเวลา ผ่านทางอารมณ์ ความรู้สึก ความคิดค่ะ
ในการที่จะจัดการกับอดีตนั้น เมื่อเรามองเหตุการณ์นั้นจากมุมของบุคคลที่ 3 แล้วก็เรียนรู้ทำความเข้าใจไปกับมัน บางทีคุณอาจเห็นรูปแบบการกระทำบางอย่างของตัวเอง เห็นแพทเทิลความคิดของตัวเอง ว่าเพราะอะไรเหตุการณ์มันถึงเป็นแบบนั้นก็ได้ค่ะ
ตอนที่มองย้อนกลับไป ลองถามคำถามง่าย ๆ ว่า …..ถ้าเรา”ไม่ใช่”คนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น-เราจะมองเหตุการณ์นั้นยังไง?-เรามีอะไรจะแนะนำคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นไหม?-คนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นควรจะทำอะไร/พูดอะไรเพื่อให้ปัญหาคลี่คลายไป?-แล้วเราได้เรียนรู้อะไรกับเหตุการณ์นั้นบ้าง?
แม้ว่าการเรียนรู้ของแต่ละคนก็จะแตกต่างกัน แต่ถึงอย่างไรก็ตาม หากทำตามตั้งแต่ข้อ 1 มา เรามักจะได้เรียนรู้เหตุการณ์นั้นในมุมที่แตกต่างจากเดิมที่เราเคยมองเห็นแน่นอนค่ะ
5.ส่งพลังงานที่ดีให้กับอดีตนั้น

วิธีนี้แนะนำสำหรับสายพลังงานเลยค่ะ
เวลาที่เราเรียกพลังหรือส่งพลังงานที่ดี เช่น พลังเรกิ เป็นต้น ตัวเราเองที่เป็นคนเรียกพลังก็รู้สึกดี สบาย คนรับเองก็รู้สึกสบาย ผ่อนคลาย รู้สึกดี จนหลายครั้งในคลาสเรียนคนรับพลังก็ผ่อนคลาย สบาย มีความสุขขึ้นมาเองเหมือนกันค่ะ
ดังนั้นเราสามารถประยุกต์นำพลังงานนี้ไปส่งให้กับตัวเราในอดีตนั้นได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งเราสามารถใช้วิธีการส่งทางไกล หรือการใช้สัญลักษณ์ช่วยในการส่งพลังงานข้ามมิติเวลา ย้อนกลับไปแล้วส่งพลังงานที่ดีให้กับตัวเราในเหตุการณ์นั้น (เรกิ 2) ได้ค่ะ
หากใครยังไม่ได้เรียนพลังงานก็ไม่เป็นไรค่ะ เพียงแค่คุณส่งความรู้สึกดีดีให้กับตัวเอง ยิ้มให้กับตัวเอง ผ่อนคลายกับตัวของคุณเอง อย่าลืมใจดีกับตัวเองด้วยนะคะ เท่านี้ก็ช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นมาแล้วค่ะ
_________
เพิ่มเติม
วิธีการจัดการอารมณ์ ความรู้สึก ยังมีอีกหลายวิธีค่ะ
เช่น
-การใช้พลังงานชำระล้างออกไป เช่น เรกิ, ปราณ, ชี่ เป็นต้น
-การใช้สัญลักษณ์เฉพาะเรื่องจากเรกิ 2 เช่น เซเฮกิ (Sei heki), ฮ่าท (Harth)
-การกราวดิ้ง (Grounding)
-การใช้คลื่นเสียงสมาธิจาก Gateway Experience: Wave I แทร็ก Release and Recharge
-การใช้เทคนิค Emotion-Sync
-การใช้เทคนิค Timeline Therapy
-การจัดการด้วยเทคนิคจาก NLP
ซึ่งแอนว่าเทคนิคเหล่านี้มีประโยชน์มาก ๆสามารถนำมาใช้กับแต่ละสถานการณ์ที่แตกต่างกันไปค่ะ
________
หวังว่าทุกท่านจะได้รับประโยชน์จากบทความนี้นะคะ ^^
ท้ายนี้ แอนมีประโยคที่ชื่นชอบที่เกี่ยวข้องกับบทความนี้มาฝาก จาก ไนเจล คัมเบอแลนด์ได้กล่าวไว้ค่ะ…
“เราเปลี่ยนอดีตของตัวเองไม่ได้สิ่งที่เปลี่ยนได้คือความคิดและความรู้สึกของเราเกี่ยวกับอดีตนั้น”
ดังนั้น Move On แล้วตั้งใจทำปัจจุบันของเราให้ดีกันค่ะ
ขอให้ทุกคนโชคดีนะคะ ^^
❤️ Soul Good Healing ❤️
อยากให้ทุกคนได้สัมผัสพลังงานที่มีอยู่จริง
และได้พัฒนาทางด้านจิตวิญญาณไปร่วมกันค่ะ
#ในสายพลังงาน
#สัมผัสพลังงานที่มีอยู่จริง
#soulgoodhealing